หนังสือ เมื่อโลกซึมเศร้า: Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุน และลัดดาแลนด์ โดย สรวิศ ชัยนาม (พิมพ์ครั้งที่ 2)
เข้าเล่มปกอ่อนจำนวน 248 หน้า
หนังสือเล่มนี้ได้รับการ vote ให้เป็นหนึ่งเล่มของ ‘ความน่าจะอ่าน ขวัญใจมหาชน 2021’ ซึ่งจัดโดยเพจ 101
______________________
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นการอรรถาธิบายแนวคิดเรื่องโลกสัจนิยมแบบทุนของ Mark Fisher ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ของเรา โดยเน้นไปที่ความพยายามของ Fisher ในการสร้างความเป็นการเมืองให้กับสุขภาพจิตเสียใหม่ในบริบทของอัตราความเจ็บป่วยทางจิตที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก
Fisher ไม่ได้จะบอกว่าความเจ็บป่วยทางจิตทั้งหมดมีสาเหตุมาจากทุนนิยม เขาไม่ใช่พวกที่มีทรรศนะแบบลดทอนทางเศรษฐกิจ (economic reductionist) หรือนิยัตินิยม (determinist) แต่ประเด็นที่เขาจะบอกมีอยู่ว่า การมองว่าความเจ็บป่วยทางจิตไม่มีความเกี่ยวข้องกับทุนนิยมเลยนั้นเป็นฐานคติที่ใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตจึงไม่อาจไม่เกี่ยวกับการเมืองที่ต่อต้านทุนนิยมและการเมืองเพื่อการปลดปล่อย กล่าวอีกอย่างก็คือ ความพยายามใด ๆ ก็ตามที่จะรักษาโรคซึมเศร้าโดยไม่เผชิญหน้ากับทุนนิยมเป็นได้เพียงการเลี้ยงไข้หรือทำให้อาการแย่ลง (ซึ่งยิ่งทำให้บริษัทยายักษ์ใหญ่รวยขึ้น อะไรแบบนี้) เท่านั้น
ในส่วนที่สอง ผมนำงานของนักวิชาการท่านอื่น ๆ มาเสริมแนวคิดของ Fisher ในเรื่องที่ว่าทำไมความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การงาน และความเพ้อฝันเรื่องการโยนความรับผิดชอบไปที่ปัจเจกล้วนเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้า สิ่งที่ต้องการจะสื่อในส่วนนี้ก็คือ การประเมินคุณค่าของงานเสียใหม่ การลดชั่วโมงทำงานลงขนานใหญ่ การเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมในด้านการจัดสรรกระจายทรัพยากรและความมั่งคั่งกลับสู่สังคม (redistributive justice) และการจัดตั้งการต่อสู้เพื่อล้มล้างทุนนิยม ล้วนเป็นยาต้านเศร้าที่เรานำมาใช้ได้ทั้งสิ้น
ในส่วนสุดท้าย ผมจะวิเคราะห์ ลัดดาแลนด์ ผ่านกรอบของโลกสัจนิยมแบบทุนและความทุกข์ทรมานทางจิต โดยถอดสารที่แสดงความต่อต้านทุนนิยมออกมาพร้อม ๆ กับชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของหนัง
คำนำ
สรวิศ ชัยนาม
_______________________
บาง ‘ประโยคแซ่บ แคปให้ด้วย’ จากหนังสือเล่มนี้ เผื่อคุณน่าจะอ่านมันมากขึ้น
-เราได้เห็นกันแล้วว่าแม้ทุนจะพร่ำโอ้อวดเรื่องความแปลกใหม่และนวัตกรรม แต่วัฒนธรรมกำลังมีลักษณะเหมือนกันและคาดเดาได้มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้นำไปสู่สถานการณ์ซึ่ง ‘ไม่มีใครรู้สึกเบื่อ แต่ทุกอย่างล้วนน่าเบื่อไปหมด’
-ถ้าถามผม ความเพ้อฝันที่มีบทบาทสำคัญในทุกวันนี้คงไม่พ้นแนวคิดเรื่องการโยนความรับผิดชอบไปที่ปัจเจก… ซึ่งก็คือ ถ้าเราเป็นคนคิดบวก ไม่ย่อท้อ มีเป้าหมายที่อยากบรรลุอย่างจริงจัง ลงทุนกับตัวเราเองอย่างสมเหตุสมผล พัฒนาและปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไม่หยุด และอะไรอื่นๆ เราก็จะ ‘ได้ทุกอย่างที่ต้องการ’ และไม่ขาดเหลืออะไรอีก … พูดอีกอย่างก็คือ ใครก็แล้วแต่ที่เป็น ‘คนขี้แพ้’ จะไม่มีใครให้โทษนอกจากตัวเอง
-นักศึกษาวัยรุ่นจำนวนมากของเขาประสบกับ ‘ความซึมเศร้าจากการไล่หาความสุข’ มันคือสภาวะที่ ‘ไม่ได้เกิดจากการที่คนคนนั้นไม่สามาารถหาความสุขได้ แต่เพราะคนคนนั้นไม่สามารถทำอย่างอื่นได้นอกจากแสวงหาความสุข’
คนส่วนใหญ่ในโลกทุนนิยมยุคปลายรู้สึกว่าการทำงานคือ bukkake ที่ดำเนินไปไม่รู้จบ ใบหน้าอันอิดโรยของเราเปื้อนไปด้วยนำ้อสุจิเหนียวๆ แต่เราก็ต้องฉีกยิ้มและขอให้เจ้านายป้อนงานเราเพิ่มอีก สุโค่ยมั้ยล่ะ!