พุทธวจน อริยวินัย ๑๑๑๗ หน้า ศีลของภิกขุต้องศึกษา
คำชี้แจงก่อนอ่าน
หนังสือเล่มนี้ ได้ประมวลพุทธบัญญัติอริยวินัย จากพระไตรปิฎกอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ วิถีชีวิต ระเบียบปฏิบัติ และ วิธีดำเนินกิจการต่างๆของภิกษุสงฆ์ที่เรียกว่า ศีล และ สิกขาบท (แปลว่า ข้อควรศึกษา) ซึ่งการรวบรวม และเรียบเรียงเรียงข้อมูล ของหนังสืออริยวินัยนี้ ได้อิงมาจากพุทธวจนในหลายๆ พระสูตร ดังตัวอย่าง ในอากังเขยยสูตร (-บาลี ม. ม.๑๒/๕๘/๗๓)
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์ อยู่เถิด จงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวม ในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วย อาจาระและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้มีปกติ เห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบท ทั้งหลายเถิด.”
“ ส มฺป นฺน สีล า ภิกฺข เว วิห ร ถ ส มฺป นฺน ป า ติโ ม กฺข า
ปาติโมกฺขสํวรสํวุตา วิหรถ อาจารโคจรสมฺปนฺนา อณุมตฺเตสุ
วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี สมาทาย สิกฺขถ สิกฺขาปเทสุ.”
จากตัวอย่างพระสูตรดังกล่าว จึงได้แบ่งเนื้อหาของหนังสือออกเป็นสามส่วน คือ
๑. สมฺปนฺนสีลา หรือ สีลสมฺปนฺโน หมายถึง หลักการศึกษาอบรมเกี่ยวกับ ลักษณะของความเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์เป็นอย่างไรโดยทุกข้อจะทรงระบุว่า “แม้นี้ก็เป็น ศีลของเธอประการหนึ่ง” โดยมีข้อบัญญัติห้ามภิกษุทำมิจฉาอาชีวะ ซึ่งมีเดรัจฉาน วิชา และอื่นๆ ก็จัดอยู่ในศีลกลุ่มนี้เช่นกัน ถึงแม้พระองค์ ไม่ได้มีการปรับ อาบัติเอาไว้ แต่ได้มีการชี้โทษในส่วนของธรรมะว่า ขวางกั้นความเป็นอริยบุคคล โดยดูจาก พระสูตร มิจฉาทิฏฐิเรื่องกรรม (-บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๐/๓๖๖) และมหา จัตตารีสกสูตร (-บาลี อุปริ. ม. ๑๔/๑๘๐/๒๕๒)
๒. สมฺปนฺนปาติโมกฺขา ปาติโมกฺขสํวรสํวุตา หรือ อาทิพรหมจริยกา สิกขา (อาทิพฺรหฺมจริยกา สิกฺขา ; จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๐/๒๔๕) หมายถึง หลักการ ศึกษาอบรม ในฝ่ายบทบัญญัติ หรือข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าทรง บัญญัติไว้ เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษ แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด โดยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้างสงฆ์ยกขึ้นแสดงทุกกึ่งเดือน เรียกว่า ปาติโมกข์
๓. อาจารโคจรสมฺปนฺนา หรือ อภิสมาจาริกาสิกขา (อภิสมาจาริกาสิกฺขา ; จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๒๙/๒๔๕) หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่ายขนบ ธรรมเนียม มรรยาท เพื่อความอยู่ร่วมกัน อย่างผาสุกในหมู่สงฆ์ และเป็นไป เพื่อความ น่าเลื่อมใส แก่ผู้พบเห็น
อนึ่ง ในช่วงแรกหลังการตรัสรู้ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติ สิกขาบทไว้ แน่นอน เพราะภิกษุสงฆ์ทั้งหลายล้วนมีวัตรปฏิบัติดีงาม เป็นหนึ่งเดียวกัน ตามแบบอย่าง ที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติปฏิบัติมา
ภายหลัง เมื่อเกิดเรื่องพิพาท ข้อสงสัย หรือเหตุมัวหมองขึ้นภายในคณะ สงฆ์ พระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้ประชุมสงฆ์ สอบถามภิกษุผู้เกี่ยวข้องในเหตุนั้น หากเป็น การประพฤติที่สมควร จะทรงมีพระบัญญัติ อนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายกระทำ สิ่งนั้นๆ ได้ แต่ถ้าเป็นการประพฤติ ที่ไม่เหมาะสม พระพุทธองค์จะทรงชี้โทษแห่งการ ประพฤติเช่นนั้น พร้อมตรัสอานิสงส์ แห่งความสำรวมระวัง และ ทรงแถลง วัตถุประสงค์ ก่อนบัญญัติสิกขาบทแต่ละข้อ
ซึ่งมีอยู่ ๑๐ ประการ คือ
1. เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์
2. เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์
3. เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก
4. เพื่ออยู่สราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
5. เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน
6. เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต
7. เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
8. เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
9. เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
10 . เพื่อถือตามพระวินัย
ครั้นแล้วจึงทรงตั้งพระบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุกระทำอย่างนั้นอีกต่อไป ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าทรงกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิดเรียกว่า ปรับอาบัติ คำว่า อาบัติ แปลว่า การต้อง (ความผิด) การล่วงละเมิด คำนี้เป็นชื่อเรียก กิริยาที่ล่วงละเมิดสิกขาบทนั้นๆ และเป็นชื่อเรียกโทษหรือความผิด ที่เกิดจากการ ล่วงละเมิดสิกขาบท เช่น ภิกษุกล่าว อวดอุตตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติ ปาราชิก เป็นต้น
อาบัติมี ๗ กอง คือ
1. ปาราชิก (แปลว่า ผู้พ่ายแพ้)
2. สังฆาทิเสส (แปลว่า อาบัติอันจำปรารถนาสงฆ์ ในกรรมเบื้องต้น และกรรม ที่เหลือ)
3. ถุลลัจจัย (แปลว่า ความล่วงละเมิดที่หยาบ)
4. ปาจิตตีย์ (แปลว่า การละเมิดที่ยังกุศลให้ตก)
5. ปาฏิเทสนียะ (แปลว่า จะพึงแสดงคืน)
6. ทุกกฏ (แปลว่า ทำไม่ดี)
7. ทุพภาสิต (แปลว่า พูดไม่ดี)
อาบัติปาราชิก มีโทษหนัก ทำให้ผู้ล่วงละเมิดขาดจากความเป็นภิกษุ
อาบัติสังฆาทิเสสมีโทษหนักน้อยลงมา ผู้ล่วงละเมิดต้องอยู่กรรมคือ ประพฤติวัตรตามที่ทรงบัญญัติ จึงจะพ้นจากอาบัตินี้
ส่วนอาบัติ ๕ กองที่เหลือมีโทษเบา ผู้ล่วงละเมิดต้องประกาศ สารภาพผิด ต่อหน้า ภิกษุด้วยกัน ดังที่เรียกว่า ปลงอาบัติ (มีรายละเอียดวิธีในภาคผนวก หน้า ๑๐๕๐) จึงจะพ้นอาบัติเหล่านี้